เทศน์พระ

เทศน์พระ ๑๑

๓ ม.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์พระ (ก่อนปาฏิโมกข์)
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

สังคมสงฆ์ มันจะแคบเข้ามาเรื่อยๆ เวลาที่โลกเขาแคบลงเห็นไหม เมื่อก่อนการคมนาคมมันไม่สะดวกอย่างเดี๋ยวนี้ กว่าเชื้อโรคจะแพร่กัน กว่าจะกระจายไปถึง เห็นไหม แต่ในปัจจุบันนี้ ถ้าเชื้อโรคจะแพร่ไปนี่เขาต้องกักสนามบิน เพราะการคมนาคมมันสะดวก ถ้าเชื้อโรคมีที่ไหนนะ โรคระบาดมันจะล้างโลกเลย เพราะอะไร เพราะว่าการคมนาคมมันเอาเชื้อไปทั่ว ในปัจจุบันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อสังคมสงฆ์ไง สังคมสงฆ์มันสะดวกขึ้นมา สะเทือนที่ไหนก็ถึงกันหมดนะ

กลิ่นของศีลมันหอมทวนลม กลิ่นของบาปอกุศลเห็นไหม จะทำที่ไหนใครก็รู้นะ เราถึงต้องตั้งสติ ถ้ามีสตินะมันจะยับยั้ง ยับยั้งความต้องการ ยับยั้งสิ่งที่เกิดจากใจเรา สิ่งที่เกิดจากใจนี่มันรุนแรงมาก เพราะกิเลสนะ กิเลสของคฤหัสถ์ เวลาเขามองพระไง เขามองพระว่าพระบวชแล้ว พระก็ต้องอยู่ในร่องในรอย พระต้องเป็นคนดีนะ โยมจะทำความผิดบ้างก็ไม่เป็นไร แต่พระห้ามทำความผิด เห็นไหม เขาคิดว่าพระบวชแล้วนี่มันเท่ากับกิเลสมันไม่มีในหัวใจเลย เวลาบวชแล้วเห็นไหม มันเป็นสมมุติสงฆ์

บวชด้วยสมมุติสงฆ์ให้เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ บวชโดยสมมุติอันหนึ่ง แล้วบวชโดยธรรมอันหนึ่งไง บวชโดยธรรมเห็นไหม บวชโดยมรรค มรรคสามัคคี อาสวักขยญาณเข้าไปทำลายกิเลส เอหิภิกขุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้ ธรรมและวินัยนี้เป็นศาสดาของเรา ถ้าธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเราเห็นไหม เราบวชของเราอีกหนหนึ่ง เราจะเป็นเอหิภิกขุ บวชตัวของเราเอง แต่ถ้าเราบวชในสังคม มันได้เป็นแค่สมมุติสงฆ์เท่านั้นล่ะ สมมุติสงฆ์เพราะว่าวางธรรมและวินัยไว้ นี่ธรรมและวินัยเหมือนกัน

ถ้ามันไม่ใช่สงฆ์เห็นไหม มีพระบอกว่า พระบวชชั่วคราวนี่เป็นลูกชาวบ้าน ไม่ใช่ ไม่ใช่ลูกชาวบ้านหรอก เป็นพระภิกษุ เป็นสงฆ์โดยสมมุติแน่นอน เพราะอะไร เพราะมันเข้าทำสังฆกรรมร่วมกับสงฆ์ มันทำสังฆกรรมเห็นไหม ถ้าสิ่งที่ทำเป็นนานาสังวาส เป็นโมฆียะ เป็นโมฆะ แล้วถ้าสงฆ์บวชแล้วไม่ใช่สงฆ์ เข้าไปในหัตถบาสได้อย่างไร เข้าไปทำสังฆกรรมได้อย่างไร สงฆ์ทั้งหมดมันก็สกปรกไปทั้งหมดน่ะสิ สงฆ์ไม่สกปรก

ขณะบวชโดยสมมุติเห็นไหม อุปัชฌาย์กับอาจารย์เวลาสวด วิบัติ ๔ สิ่งนี้เป็นวิบัติ บวชแล้วเป็นสงฆ์ไหม เป็น เป็นสงฆ์นะ เพราะอะไร เพราะบวชแล้วโดยเจ้าตัวไม่รู้ เจ้าตัวเข้าสังฆกรรม เข้าร่วมทำทุกๆ อย่างเลย แต่จะขาดต่อเมื่อเรารู้ไง แล้วถ้าเราสงสัยในอุปัชฌาย์ สงสัยในอาจารย์เห็นไหม วิบัติ ๔ อุปัชฌาย์วิบัติ กรรมวาจาจารย์วิบัติ อักขรวิบัติ สีมาวิบัติเห็นไหม สิ่งที่เป็นความวิบัติ ดูหลวงปู่มั่นสิ ในประวัติหลวงปู่มั่นเห็นไหม หลวงปู่มั่นบวชแล้ว สมัยโบราณ เรื่องบริขารหาได้ยาก ก็บวชโดยใช้ผ้าสังฆา (สังฆาฏิ) ชั้นเดียว

พอบวชไปแล้ว เพราะหลวงปู่มั่นยังไม่ได้ออกไปปฏิบัติ หลวงปู่มั่นบวชเป็นเณร ๒ พรรษา แล้วสึกไปช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน แล้วหลวงปู่เสาร์ไปเอามาบวชใหม่ ขณะที่หลวงปู่มั่นบวชใหม่ ขณะที่เป็นคฤหัสถ์หลวงปู่มั่นก็ยังไม่รู้อะไร เพราะสมัยนั้นสมัยที่บวชใหม่ก็ยังไม่ได้ภาวนาเลย เวลาบวชแล้วเห็นไหม แล้วแต่ว่าสังคมสงฆ์จะทำให้ สงฆ์ทำให้ก็จัดบริขารให้ แล้วบวชให้ แต่บวชออกมาแล้วเห็นไหม นอนฝัน ฝันว่าตัวเองไม่ได้บวช ตัวเองบวชได้แค่เณร

เณรเพราะอะไร เณรเพราะสังฆามันชั้นเดียวเห็นไหม อักขรวิบัติ อุปัชฌาย์วิบัติ กรรมวาจาจารย์วิบัติ สีมาวิบัติ บริขารวิบัติ มันวิบัติ ๖ มันวิบัติ ๔ แล้ววิบัติ ๖ เห็นไหม ฝันว่าตัวเองยังเป็นเณรอยู่ จนไปปรึกษาอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ยอมรับว่าจัดบริขารให้ไม่สมประกอบ ถึงได้ทำทัฬหีกรรมบวชซ้ำ บวชซ้ำอีกหนหนึ่งเห็นไหม หลวงปู่มั่นเวลานอนแล้ว ฝันอีกเห็นไหม พุทธภูมิ ภูมิของหลวงปู่มั่น ปรารถนาเป็นพุทธภูมิ เพราะสร้างบุญญาธิการมามาก

สิ่งที่มีบุญญาธิการมามากเหมือนกับ ในปัจจุบันนี้ ดูสิ บางคนนี่เชาว์ปัญญาดีมาก บางคนนี่เซ่อมาก เซ่อจริงๆ นึกอะไรก็นึกไม่ออก แต่บางคนเชาว์ปัญญาจะดีมากเลย สิ่งนี้มันมาจากตรงนี้ มันมาจากบารมีที่สร้างสมมา แต่มันมีกรรมนะ ดูจูฬปันถกสิ เวลาพี่ชายให้ท่องมนต์ แม้แต่บทเดียวก็ยังท่องไม่ได้ แต่ทำไมเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ลูบผ้าขาว ทำไมถึงเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ล่ะ เห็นไหมถ้ากรรมมันบัง เวลากรรมของเรา กรรมในชาติใดชาติหนึ่ง เวลาที่เราทำไว้นี้มาตอบสนองไง

เวลาเห็นพระสวดปาติโมกข์ เคยบวชในศาสนา เพราะศาสนามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตลอดเห็นไหม บวชมาแล้วไปเห็นพระ ตัวเองฉลาดมากท่องสิ่งใดก็ได้ จดจำสิ่งใดก็ได้ แต่เห็นพระที่สวดปาติโมกข์ ท่องปาติโมกข์ ท่องแล้วท่องอีกไม่ได้ ก็ไปหัวเราะเยาะเขาไง เขาเขินเขาอาย เขาก็เลยหลุดไปเห็นไหม นี่กรรม กรรมเพราะอะไร เพราะการสวดปาติโมกข์ การทำการแทนพระพุทธเจ้าเป็นธรรมกถา เป็นเรื่องของธรรมวินัย มันทำให้สังคมสะอาดไง ทำให้สังคมเรามันจะมีจุดยืนเห็นไหม

แล้วไปหัวเราะ สิ่งต่างๆ กรรมก็ตามมา จูฬปันถก ท่องคาถาบาทเดียวไม่ได้เห็นไหม แต่เพราะอำนาจวาสนาที่ตัวเองก็สร้างมา แล้วเพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม สมัยที่แสดงยมกปาฏิหาริย์ ห้ามภิกษุอวดอุตริมนุสธรรมเป็นอาบัติปาราชิก แล้วพอบัญญัติขึ้นมาก็เพราะว่าลูกศิษย์ของพระโมคคัลลานะเหาะขึ้นไปเอาบาตรไม้จันทน์เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือวิมุตติธรรม มันมีคุณค่ามาก

แล้วด้วยพระโมคคัลลานะกับลูกศิษย์นี่เป็นพระอรหันต์ด้วยกัน แต่เพราะเจ้าของเขาก็อยากเห็นว่าในศาสนายังมีมรรคมีผลหรือเปล่า ด้วยเทคนิคของเขา เขามีความเห็นของเขาแค่นั้น ก็ทำบาตรไม้จันทน์ แล้วเอาไม้ไผ่ต่อขึ้นไป ๓ ลำ เอาไว้บนยอด แล้วประกาศว่า ถ้ามีพระอรหันต์จริง ขอให้เหาะมาเอาเถิด เพราะตัวเองอยากรู้ไงว่า ยังมีมรรคมีผลไหม นี่ขนาดในสมัยพุทธกาลนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่นะ นี่เขาก็สงสัยกันอยู่แล้วเห็นไหม

แล้วทางเดียรถีย์ก็มาแสดงตน ว่าจะเหาะ จะเหาะ แต่ก็มาหลอกเขาอยู่ตลอดเวลา ให้ลูกศิษย์คอยบอกว่าอย่าเหาะเลยของแค่นี้ไม่สำคัญ เขาก็ดูถูก เขาดูถูก เขาบอกว่าหมดแล้ว มรรคผลไม่มีแล้ว เขาดูถูก เขาเสียใจมาก พระโมคคัลลานะกับลูกศิษย์เห็นไหมบอกว่า นี่เธอต้องขึ้นไปเอา ลูกศิษย์ก็ให้อาจารย์ไปเอา อาจารย์ก็ให้ลูกศิษย์ไปเอา ถึงที่สุดเพราะอะไร เพราะเขาเสียใจ เขาไม่มีที่พึ่งไง ลูกศิษย์ของพระโมคคัลลานะจึงเหาะขึ้นไป เหาะขึ้นไปหยิบบาตรนะ วน ๓ รอบแล้วลงมา เขาดีใจมากว่าสิ่งนี้ยังมีอยู่ โลกมองได้แค่นั้น ฌานโลกีย์เห็นไหม พวกนี้เป็นเรื่องฌานโลกีย์เป็นสิ่งที่แสดงออก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบัญญัติวินัยไว้ว่า ห้ามอวดอุตริมนุสธรรม ถ้าอวดอุตรินี่ให้ปรับอาบัติปาราชิก เพราะว่า สุกขวิปัสสโก เตวิชโชต่างๆ พระอรหันต์ที่ว่าแสดงฤทธิ์ก็ได้ ที่เป็นสุกขวิปัสสโกบรรลุธรรมแล้วนี้บรรลุธรรมเฉยๆ แต่ไม่มีฤทธิ์มีเดชอย่างนี้เห็นไหม แล้วถ้าเกิดอย่างนั้น เวลาใครไม่เชื่อก็ต้องให้เหาะ ให้แสดงอย่างนี้ มันเป็นการทำให้ศาสนาเป็นเรื่องของโลกๆ ไปเห็นไหม ถึงบัญญัติไว้ว่า ห้ามอวดอุตริมนุสธรรม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อนุญาตให้พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะแสดงได้ก่อนที่จะสิ้นชีวิตเห็นไหม ให้แสดงได้เต็มที่เลย

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมา พวกเดียรถีย์ก็ได้ใจ เห็นไหม ก็จะมาท้าทายการแสดงฤทธิ์ต่างๆ เห็นไหม เพราะคิดว่าทำไม่ได้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับคำท้า พอรับคำท้าทีนี้โยมก็ไปถามว่า อ้าว ก็องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนบัญญัติเองว่า ห้ามอวดอุตริมนุสธรรม แล้วการแสดงฤทธิ์เดชมันอวดอุตริมนุสธรรม ธรรมเหนือมนุษย์ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงได้อย่างไร เราแสดงได้สิ เพราะเราเป็นเจ้าของสวนมะม่วง เราห้ามคนอื่นเก็บมะม่วง แต่เรานี่เป็นเจ้าของสวนทำไมเราจะเก็บไม่ได้

เหมือนกับเราเป็นเจ้าของไร่ เราติดประกาศใช่ไหมว่า ห้ามบุคคลอื่นเข้ามาหยิบฉวยของๆ เรา แต่เราเป็นเจ้าของสวน เราสามารถจะเก็บผลไม้นั้นกินได้ไหม ได้ นี่ก็เหมือนกันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบอกว่าท่านเป็นเจ้าของศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้ววางธรรมวินัยไว้เป็นศาสนา ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของ ทำไมจะทำไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทำได้เห็นไหม แล้วแสดงยมกปาฏิหาริย์ ไปแสดงตน พวกเดียรถีย์นี่ล้มระนาวไปหมดเลยเห็นไหม แล้วก็ขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดา

สิ่งที่องค์สมเด็จแสดงเห็นไหม นี่ก็เหมือนกันย้อนกลับมาจูฬปันถก เพราะอำนาจวาสนาบุญบารมี เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งโลกนอก โลกใน คนที่มีวาสนาแต่ว่ามีกรรม กรรมคราวหนึ่งมันมาบัง มาตัดทอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถสอนได้ สามารถบอกกล่าวได้ แม้แต่พี่ชายจะรักน้องขนาดไหน เพราะเอาน้องมาบวช ก็รักน้องมาก แต่น้องนั้นพอบอกให้ท่อง ให้ท่องบ่นเห็นไหม เพราะสอนกันไปโดยข้อเท็จจริงไง สอนกันไปโดยความรู้แบบอาจารย์กับศิษย์ไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีวุฒิภาวะสูงส่งมาก ใครทุกคนก็อยากเกิดพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อำนาจวาสนาอยู่ตรงนี้ไงเห็นไหม บวชโดย เอหิภิกขุ โดยบวชสมมุติสงฆ์ ก็บวชโดยธรรมและวินัย ถ้าจะโต้แย้งกันโดยปริยัติเห็นไหม มันก็บวชแล้ว นี่ก็บวชโดยธรรมและวินัยเพราะเราบวชออกมา สงฆ์ยกเข้ามาหมู่ มันก็เป็นสงฆ์ ใช่ แต่เป็นสมมุติสงฆ์ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติมา ชาวบ้านบอกว่าบวชเป็นพระแล้วนี่ พระต้องไม่ผิดในสิ่งใดเลย

พระก็มีกิเลสทั้งตัว ก็มันบวชแบบสมมุติ บวชแบบสิทธิตามประเพณีไง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาเห็นไหม พุทธบริษัท ๔ เจ้าของศาสนา รักษาศาสนาไว้ แล้วพุทธบริษัท ๔ เห็นไหม นางวิสาขาก็เป็นพระโสดาบันเห็นไหม พระเจ้าสุทโธทนะก็เป็นพระอรหันต์เห็นไหม พาหิยะก็เป็นพระอรหันต์เห็นไหม คฤหัสถ์ พุทธบริษัท ๔ ก็สามารถบรรลุธรรมได้ทั้งหมด แต่พุทธบริษัท ๔ สามารถทำได้ไหมล่ะ

ถ้าทำได้นะ ดูอนาถบิณฑิกเศรษฐีเห็นไหม อุปัฏฐากพระมาก เพราะอะไร เพราะเป็นพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลนี่นะ มันจะมีความเป็นไปของจิต จิตนี้มันเหมือนกับเราเป็นหมอ เหมือนกับเราเป็นพ่อแม่ พ่อแม่นี้จะรักลูกมาก พ่อแม่จะหาทางให้ลูกมีวิชาการ ให้ลูกสุขสบาย ให้ลูกมีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัวได้ พ่อแม่คนไหนก็รักลูก อริยภูมิก็เหมือนกัน อริยภูมิในหัวใจเพราะอะไร เพราะปุถุชน ภูมิของปุถุชนนี้เป็นภูมิอันหนึ่ง ก็มีความเห็นอันหนึ่งเห็นไหม

แล้วถ้าภูมิปุถุชนมันพยายามค้นคว้า พยายามชำแรกกิเลสออกจากใจ มันเป็นวิธีการนะ เหมือนกับทางโลกเขาประกอบสัมมาอาชีวะ ทางโลกเขาอยู่กับสังคม สังคมมันจะมีโลกธรรม ๘ มันจะมีติฉินนินทา จะมีสิ่งต่างๆ เห็นไหม มันจะมีเกณฑ์มีสิ่งต่างๆ ในสังคม รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ มันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป แล้วพ่อแม่อยู่ในสังคมอย่างนั้นมา แล้วลูกเราเกิดมาแล้วต้องเข้าไปในสังคมนั้น มันจะทุกข์ยากขนาดไหน พยายามจะบอกให้ลูกมีวุฒิภาวะเพื่อจะเข้าไปอยู่ในสังคมนั้นได้

อริยภูมิก็เหมือนกัน เพราะอะไร เพราะกิเลสในหัวใจของเรา ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ มันมีเล่ห์เหลี่ยมมาก เล่ห์เหลี่ยมมันจะหลอกลวง มันจะคอยพลิกแพลงในหัวใจของเรา แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านบรรลุธรรมขึ้นมาแต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นมา ท่านต้องผ่านสังคมอย่างนี้ ผ่านกิเลสนี้ ชำระกิเลสออกจากใจอย่างนี้ นี่สิ่งนี้ถึงจะห่วงหาอาวรณ์เรื่องธรรมและวินัย เรื่องข้อวัตรปฏิบัติเห็นไหม

อนาถบิณฑิกเศรษฐีหรือแม้แต่นางวิสาขา นางวิสาขานี้เป็นพระโสดาบันนะ เวลาพระจะเดินทางจะขอหมดนะ ขอพระที่จะส่งพระเดินทาง ขอพระที่เจ็บไข้ได้ป่วย นางวิสาขาเป็นคนขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุปัฏฐากพระทั้งนั้นเลย เพราะอะไร เพราะกว่าจิตที่เป็นปุถุชนจะเป็นพระโสดาบันขึ้นมา มันผ่านขั้นตอนของการชำระกิเลสนี่มันเห็นวิธีการที่จะเข้าไปหา เหมือนพ่อแม่เคยผ่านมา เคยทำธุรกิจการค้ามา มันจะผ่านขั้นตอนมาอย่างนี้ มันอาบเหงื่อต่างน้ำมา แล้วลูกของเรา หรือว่าสังคมของเรา หมู่ญาติของเรา พยายามจะทำอย่างนี้ สังคมสงฆ์ไง สังฆะคือสงฆ์ สงฆ์ที่จะขึ้นมานี้เห็นไหม

แม้แต่เป็นคฤหัสถ์ แต่ถ้าจิตใจเป็นอริยภูมิขึ้นมาแล้ว มันจะเห็นวิธีการ สิ่งใดที่เป็นวิธีการเข้าไปหาเป้าหมายนั้น จะถนอมรักษามาก แล้วครูบาอาจารย์ที่ผ่านอย่างนี้มา จะรักษาอย่างนี้เห็นไหม แล้วเราล่ะ เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราเป็นผู้ที่แสวงหา เราจะต้องถนอมรักษาสิ่งนี้ รักษาสิ่งนี้เพื่อให้ใจเราเข้ามาถึงใจเรา ถ้าเข้ามาถึงใจเราเห็นไหม เข้ามาถึงใจเรา แค่จิตสงบเท่านั้น ความสงบของใจเพื่อให้มีโอกาสที่จะขุดคุ้ยเข้ามาในชำระกิเลสเห็นไหม

กิเลสมันเป็นสิ่งที่โต้แย้ง เหมือนสังคมเลย เพราะอะไร เพราะสังคมนี้ เพราะสัตว์มนุษย์อยู่โดยคนเดียวก็ไม่ได้ ต้องอยู่กันในสังคมเห็นไหม อยู่ในสังคมเพื่อความดำรงอยู่ อยู่คนเดียวก็กลัวผี ก็หว้าเหว่ ก็ต้องหาเพื่อน พอหาเพื่อนขึ้นมานะ หาการตลาด เพื่ออะไร เพื่อการดำรงชีวิต วัฏฏะก็เหมือนกัน จิตนี้มันหมุนเวียนตายเวียนเกิด กิเลสมันก็ขับส่งเข้าไปในวัฏฏะ คนบุญเกิด คนบาปเกิด คนมีสิ่งต่างๆ เกิดในหัวใจ ในวัฏฏะ กิเลสในหัวใจ มันก็เป็นสังคมอันหนึ่ง

เป็นสังคมเพราะอะไร เพราะโลกนอกกับโลกใน โลกนอกคือโลกของหมู่สัตว์ โลกในคือโลกของจิต จิตนี่มันต้องเวียนไปในวัฏฏะเห็นไหม แล้วธรรมโอสถ ธรรมและวินัยที่จะให้เราบวชอีกหนหนึ่ง บวชจากสมมุติสงฆ์ขึ้นมา บวชขึ้นมาแล้วนี้เรามีโอกาส เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติของเรา เราก็ต้องชำระจิตใจของเราเห็นไหม สังคมโลกเขามองของเขานะ โลกธรรม ๘ เห็นไหม โลกเขาว่า ในเมื่อพระบวชแล้ว พระก็ต้องไม่ผิดเห็นไหม

แต่ความจริงเวลาเราบวชแล้ว เราขนาดจะตั้งสติขนาดไหน อาบัติก็เกิดตลอดเวลา อาบัติเกิดเห็นไหมเราก็ปลงอาบัติ สิ่งที่ผิดพลาดเราก็ปลงอาบัติ ปลงอาบัติเพื่ออะไร ปลงอาบัติเพื่อเริ่มต้นใหม่เห็นไหม ปลงอาบัติสิ่งที่ล่วงมาแล้ว เพราะว่ากิเลสตัณหาแรงขับจากภายใน เราไม่มีเจตนา แต่มันผิดพลาดไปแล้ว ความผิดพลาดมันมี นี่คือโลกใน วัฏฏะคือสิ่งที่โลกธรรม ๘ สังคมโลกกับสังคมภายใน สังคมภายใน สังคมคือความชอบ ความไม่ชอบจากหัวใจ ความดูดดื่มของใจ

สิ่งที่ทำอะไรไปแล้วเป็นอาบัติเห็นไหม ก็ปลงอาบัติเพื่อจะเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นเพื่ออะไร เริ่มต้นเพื่อให้มีโอกาสไง เพราะไม่อย่างนั้นมันจะเป็นนิวรณ์ กรรมเกิดจากใจ แล้วเราทำความสงบของใจ ก็ใจตัวนี้ต้องการความสงบ ถ้าใจตัวนี้ไม่สงบมันก็ไม่มีการเริ่ม จิตเห็นไหม จิตเป็นผู้วิปัสสนา ต้องมีจิตมีผู้เห็น ผู้รู้ ผู้รู้ไม่ใช่ว่าปฏิเสธเห็นไหม ที่โลกเขาทำกัน ปฏิเสธสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ ว่างไปหมดเลย เขาไม่ได้เอาอะไรมาเป็นมูลฐาน ไม่ได้เอาอะไรมาเป็นวิธีการพิจารณาเลย แล้วก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม เป็นธรรมเห็นไหม

สัจธรรมปฏิรูป เขาคิดของเขาเอง เขาทำของเขาเอง แอบอิงไง เป็นธรรมะเทียม กับธรรมะจริง ถ้าไม่มีธรรมะจริงเห็นไหม ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีอริยสัจ มันก็พูดกันไปตามประสาฤๅษีชีไพร พูดแต่ความเห็น เพราะมันไม่มีบัญญัติ บัญญัติที่เป็นแถวเป็นแนว บัญญัติคือธรรมและวินัยไง เห็นไหม มีขันธ์ ๕ มีวิธีการ มีสัมโพชฌงค์ มีอะไรต่างๆ นี่คือบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเมื่อมีบัญญัติอยู่แล้ว

แม้แต่พวกพุทธภูมินะ เวลาจิตสงบขึ้นมา สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ สิ่งที่มันเป็นธรรมแสดงออกมา เพราะสิ่งนี้มันเป็นของเก่าแก่นะ เวลาเทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์เห็นไหม จะฟังเทศน์อะไร ก็ภาษาบาลีมันเป็นภาษากลางที่สื่อกันมาตลอด บัญญัติเป็นภาษาบาลีเห็นไหม เวลาเราธรรมมันขึ้นมาในหัวใจ สิ่งที่ขึ้นมาในหัวใจ สิ่งที่ธรรมขึ้นมานั้นมันเกิดมาจากไหนล่ะ มันเกิดมาจากใจไง เกิดจากธรรม ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลาเห็นไหม

แล้วถ้าเรารักษาของเรา เราทำของเรา ใจของเราจะดีขึ้นมา ถ้าใจของเราดีขึ้นมาเห็นไหม ถ้าผู้เห็น เราสงสัยสิ่งใด คนอื่นจะเล่าให้ฟังขนาดไหนนะ มันก็สงสัยตลอดไป พออ่านธรรมวินัย ศึกษาธรรมวินัย หรือฟังธรรมอย่างในขณะนี้ มันก็ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยบารมีเห็นไหม ธรรมของครูบาอาจารย์ที่ออกมาเราก็ฟัง กิเลสมันยังแสดงตัวไม่ทัน มันจะน้อมนำตามไป แต่เวลาฟังเสร็จแล้วนะ มันจะเป็นอย่างนั้นหรือ มันจะเป็นอย่างนั้นหรือ

เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ถ้าจิตมันออกรับรู้ จิตมันเห็น จิตมันกระทำ พอจิตมันเห็นจิตมันกระทำ กิจญาณมันเกิด นั่นล่ะตัวกิเลส ถ้ากิเลสมันโดนชำแรกขึ้นไป กิเลสมันจะเริ่มจางลง กิเลสอาจจะขาดไปเลยเห็นไหม แต่ถ้าไม่ได้ทำสิ่งนี้ ไม่ได้ทำอะไรเลยก็ไปทำที่เงาไง สัจธรรมเป็นสภาวะแบบนั้น มันไม่ใช่จิตเห็น ไม่ใช่จิตเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่จิตเป็นผู้รู้ เป็นผู้กระทำ กิจญาณมันเกิดแล้วมันก็ชำระกิเลสเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา มันก็ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามานะ หมั่นคาดหมั่นไถ การทำงานต่างๆ เห็นไหม

เช่น อาหาร คนกระเพาะใหญ่ กินอาหารเป็นบาตรๆ มันไม่อิ่มก็มีนะ พระบางองค์กินอาหารเป็นบาตรๆ วันละหนึ่งบาตรก็มี บางคนกินเล็กกินน้อย เพราะมันอยู่ที่ร่างกาย อยู่ที่การฝึกฝนมา จริตนิสัยมันฝึกได้ ถ้าเราฝึกเราควบคุมเรา เราต้องฝึกสิ ถ้าเราฝึก เพราะเรามีโอกาสไง ดูสิ เวียนตายเวียนเกิดเรายังทุกข์เรายังยากเลย แล้วสิ่งที่กระทำอยู่นี้ มันดับนะ บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีต้นไม่มีปลาย การเกิดและการตายจากอดีตมา ไม่มีต้นไม่มีปลาย มาจากไหนก็ไม่รู้

แล้วถ้ายังไม่ถึงที่สิ้นสุดมันก็จะไปไหนอีกไม่รู้ แล้วขณะที่เรากำหนด แค่ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ๗ ปี ถ้าเรากำหนดของเรา เราควบคุมของเรา ทำไมมันทำไม่ได้ล่ะ ทำไมเราอ่อนแออย่างนั้น แต่เวลามันทุกข์มันโศก ทำไมเราต้องการให้มันหลุดออกไปจากเรา ต้องการกำจัดมันออกไป มันเอาสิ่งนี้มาแลกไม่ได้หรือ เพราะมันเป็นความทุกข์ไง สุขเกิดในทุกข์นั้นนะ สุขนี่จะเกิดในทุกข์นั้น แต่ถ้าเราต้องการแสวงหาความสุข โดยเอาความทุกข์เอาความเห็นของเราแสวงหาความสุข มันไม่มีความสุขหรอก เพราะอะไร เพราะมันเป็นอนิจจังหมดเลย

แต่ถ้าเราเอาความทุกข์ คือเอาสิ่งที่กิเลสมันไม่ต้องการ เป็นความทุกข์เพราะว่าเราไม่ปรารถนา เป็นความทุกข์เพราะว่าสิ่งนั้นมันบีบคั้น ถ้าเราเอาจิตใจเข้าต่อสู้กับมัน สิ่งนี้เอาความทุกข์เห็นไหม แล้วความสุขจะเกิดขึ้น ความสุขจะเกิดขึ้นอย่างไร เหมือนแผล ถ้าเราไม่ยอมบ่งหนามที่ตำเท้าขึ้นมานะ มันจะกัดหนองอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราต้องเอาเข็มบ่งหนาม สิ่งที่เราต้องขุดคุ้ย จะมีเลือดออกขนาดไหนเราก็ต้องบ่งหนามนะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติเหมือนกับเราบ่งหนาม บ่งหนามมันก็ต้องเจ็บสิ มันเจ็บเลือดมันออกก็ต้องออกสิ ออกเพราะอะไร เพราะมันตำเท้าเรามา เราปฏิเสธได้ไหมล่ะ นี่ก็เหมือนกัน จิตนี้มันมีอวิชชาอยู่ที่หัวใจ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้มันจะออกไม่ได้ ถ้ามันออกไม่ได้ เราจะรักษาแต่บาดแผลไว้ แล้วเราไม่ยอมบ่งหนามออกจากใจ มันจะชำระกิเลสได้อย่างไร มันชำระกิเลสไม่ได้เห็นไหม

ในเมื่อมันเป็นสัจจะความจริง ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ต้องลงทุนลงแรง ในเมื่อเป็นสิ่งที่ต้องกระทำเห็นไหม มันจะสุขมันจะทุกข์ขนาดไหน ก็ทุกข์ขึ้นมาเพื่อจะแลกกับความจริง ความสุขอันนั้น ถ้าเราบ่งหนามออกจากเท้าแล้วรักษาแผลจนหาย แล้วเราจะเดินไปที่ไหน เราจะยืนทรงตัวอย่างไร มันก็ไม่เจ็บปวดเห็นไหม แต่ถ้ายังมีหนามอยู่ในเท้านั้น เราก็เดินกะเผลก เดินกะย่องกระแย่งไปอย่างนั้น มันก็เป็นไปได้ ชีวิตก็เหมือนกัน เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวก็เดินได้ เดี๋ยวก็เดินไม่ได้ เป็นความสุขความทุกข์

การเกิดและการตาย จิตวิญญาณมันก็เป็นอย่างนั้นนะ วาระของการเกิดการตาย บุพเพนิวาสานุสติญาณ มันมีอดีตมา แล้วอนาคตก็ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วเราจะแลกด้วยสัจจะของเรา แค่นี้เราจะทำไม่ได้หรือ ถ้าเราทำของเราได้ แล้วทำได้เพราะอะไร เพราะมีครูบาอาจารย์ชี้นำไง ชี้นำเพราะอะไร เพราะเราจะทำของเราเห็นไหม จิตมันเป็นโดยสภาพของมันเอง ถ้าขณะจิตที่มันดีเห็นไหม ดูเขาปลูกผลไม้ป่าสิ บางปีมันก็ออกผลไม้ดี บางปีมันก็ไม่ออกเห็นไหม นี่ผลไม้ป่าไม่มีใครไปดูแลมันนะ สิ่งที่เราเอามาพัฒนา เอามาดัดแปลงกัน จนเป็นผลไม้ที่เราออกมาทำสวนทำไร่กันอยู่นี้ มันก็เก็บมาจากป่า แต่เขาเอามาบำรุงรักษาให้มันดีขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันอยู่ในป่าของมัน มันก็เกิดเป็นธรรมชาติ ฤดูกาลสมดุลขึ้นมา บางปีมันก็ออกผลดี บางปีมันก็ออกผลไม่ดี จิตเราก็เหมือนกัน จิตของเราบางทีมันก็ดี บางทีมันก็ไม่ดี ถ้าดีพอเราภาวนาขึ้นมามันดีขึ้นมา เราก็ว่าสิ่งนี้มันเป็นภาวนาของดี มันเป็นอนิจจัง มันเป็นธรรมชาติของมัน มันก็แปรปรวนอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าเรามีสติเข้ามา เราเข้าไปควบคุมเห็นไหม จากผลไม้ป่า มะม่วงป่า ขนุน กระท้อน ของป่าเห็นไหม เราเก็บมาแล้วเราเอามาปลูกในสวนของเรา แล้วบำรุงรักษาของเราเห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ก็ตั้งสติของเรา เพราะใจมันก็เหมือนของป่า ใจเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว มันมีของมันอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้จักวิธีรักษามัน แต่ถ้าเราบวชแล้วไม่มีครูไม่มีอาจารย์คอยรักษา ผลไม้ป่า ผลไม้ในสวนของเราก็เหมือนกัน แต่รสชาติไม่เหมือนกัน ผลไม้มีคุณภาพต่างกัน เพราะของเขาไม่ได้คัดพันธุ์ขึ้นมา มันก็มีเม็ดมาก มีอะไรมากเห็นไหม จิต ธรรมดาของมันก็เป็นอย่างนั้น มันก็หมุนเวียนไปตามธรรมชาติของมัน

ถ้าเราเอามาดัดแปลง เอามารักษา เราตั้งสติไว้ มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ ผลไม้อย่างนี้มีคุณประโยชน์ ผลไม้อย่างนี้ทางโลกเขาไม่ใช้กัน ออกไปขายก็ไม่มีใครเอา แต่ของเราคิดว่ามะม่วงก็คือมะม่วงเหมือนกัน ทำไมเขาจะไม่เอา มะม่วงเราเป็นมะม่วงป่า มันเม็ดเท่ากับเปลือกเลย มันไม่มีเนื้อเลย แต่ของเขาเม็ดลีบไง มีเนื้อมหาศาลเลย ของเขาก็มีรสหวานด้วย ในเมื่อมันเป็นจิตไง มันเป็นความเห็นจากใจของเราไง เราเห็นของเรา เราก็โต้แย้ง มะม่วงเหมือนกัน มันจะต่างกันตรงไหนล่ะ

ต่างกันที่คุณภาพของมันนั่นน่ะ ต่างกันด้วยเป็นสัมมาหรือมิจฉาไง เพราะอะไรเพราะจิตเหมือนกัน ความรู้เหมือนกัน ความรู้สึกว่างเหมือนกัน ความรู้สึกว่างมันมีอารมณ์ต่างกันไหมล่ะ มันมีข้อเท็จจริงที่เทียบเคียงได้ไหมล่ะ มันมีข้อเทียบเคียงได้ทั้งนั้น มันก็มีความเห็นที่ต่างกัน ถ้าต่างกันอย่างนั้น นี่ตรงนี้ครูบาอาจารย์สำคัญตรงนี้ เพราะอะไร เพราะเด็กไง เด็กนะถ้าของมันมีอยู่ที่มือ ดึงออกจากมือมันร้องไห้ตายห่าเลย

นี่ก็เหมือนกันจิตมันเห็น จิตมันพัฒนาขึ้นมา จิตมันจับต้องได้ มันก็ว่านี้เป็นธรรม จะไปดึงออกจากมือของเขามา เด็กมัน จิตนี้มันไม่ยอมรับนะ โอ๊ย ทำเกือบเป็นเกือบตายเลย แล้วทำไมบอกว่าอันนี้ไม่ใช่ อันนี้ไม่ใช่ มันก็เป็นผลมะม่วงเหมือนกัน เพราะจิตเหมือนกัน ความรู้สึกเหมือนกัน แต่มันไม่เป็นคุณประโยชน์ มันไม่เป็นสัมมา ไม่เกิดเป็นมรรคญาณขึ้นมา ถ้ามันเกิดเป็นมรรคญาณขึ้นมาเห็นไหม เรามีงานชอบ เพียรชอบ ชอบที่ไหน ชอบที่จิตมันเห็นไง ชอบของใครของมันนะ จิตดวงไหน กาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณากายก็ได้ เวทนาก็ได้ พิจารณาจิตก็ได้

สิ่งต่างๆ ขณะที่พิจารณาไป ความเป็นไป งานมันต่างกัน ดูสิ ดูอย่างกองทัพ กองทัพเรือเขาอยู่ในน้ำ เรือแล่นออกไปนะเขาอยู่กันเป็นปีๆ เดือนๆ ความดำรงชีวิตของเขาก็อย่างหนึ่ง กองทัพบกบุกป่าฝ่าดงมันไม่ใช่ทะเล มันคนละเรื่องเลย นี่ก็เหมือนกัน กาย เวทนา จิต ธรรม มันก็คนละเรื่องเลย อารมณ์ความรู้สึกต่างกัน ความเป็นไปก็ต่างกันไม่เหมือนกันหรอก แต่ผลของมันคือการทำสงคราม ผลของมันคือการทำให้ดำรงอิสรภาพ ผลของมันคือการทำให้จิตนี้พ้นจากกิเลสเห็นไหม

ถ้าผลนี้คือพ้นจากกิเลส การกระทำต่างๆกัน มันถึงบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นขอให้เป็นปัจจุบันธรรม ให้เป็นปัจจุบันนะ ขณะที่คราวนี้เราพิจารณากายก็ให้มันเป็นกายไป คราวต่อไปเห็นไหม ถ้ากายมันพิจารณาไม่ได้ เพราะกิเลสมันฉลาดมาก เห็นไหม ดูกิเลสมันฉลาดมาก กิเลสอยู่ในใจ มันจะพลิกแพลงเห็นไหม เราพิจารณากายไม่ได้ ถ้ามันเกิดเวทนาเราก็พิจารณา ขณะที่พิจารณาเวทนาเราก็อยู่กับเวทนา เราก็สู้กับเวทนาไป กิเลสมันจะเอาอย่างนี้มาล่อ มาต่อ มารองเห็นไหม

เหมือนกับการรบแบบกองโจร เวลาเผลอก็ออกสู้รบ ถ้าเวลาไม่เผลอก็ออกเอาอันนี้มาล่อ เราก็จะเสียเปรียบเขาตลอดไปเห็นไหม กิเลสเพราะเราไม่เห็นตัวมัน มันอยู่ในใจเรานี้เราไม่เห็นตัวมัน แล้วมันจะล่อลวงเราอยู่อย่างนี้ แล้วสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาก็จะตามต่อสู้กัน เราจะเสียเวลาตลอดไปเห็นไหม กิเลสมันฉลาดอย่างนี้ไง ฉลาดอยู่ในอำนาจเหนือใจนี้ แล้วให้ใจนี้วนไปอยู่ในอำนาจของมัน เราก็วนไปเห็นไหม แล้วก็ว่านี่เป็นปฏิบัติธรรมเห็นไหม

ทางโลกเขาก็ศรัทธานะ เขาเห็นพระเขาก็ว่าพระนี้ปฏิบัติ พระต้องมีศักยภาพ พระเราก็มีแต่ความทุกข์ความร้อนในหัวใจเห็นไหม เราก็อยู่ในศีลในธรรมนี้ส่วนหนึ่ง สมมุติสงฆ์กราบไหว้ได้ เพราะเราอยู่ในธรรมวินัยโดยสมมุติ แต่ถ้าเราอยู่ในธรรมวินัยโดยที่ว่ามรรคญาณเห็นไหม เอหิภิกขุ บวชตัวเอง บวชด้วยมรรคญาณ บวชในหัวใจของเรา ถ้าเราบวชหัวใจของเรา สิ่งที่แสดงออกมามันออกมาจากความจริง กับออกมาจากความจำ เห็นไหม

ผลไม้ป่า ผลไม้บ้าน ผลไม้ของเรา เรารักษาของเรา พันธุ์ไม้ของเรา เราปลูกเอง เรารักษาเอง จะปลูกมื่อไหร่ ทำเมื่อไหร่ก็ได้ สิ่งต่างๆ ใครจะมาดูงาน ใครจะมาศึกษาก็ได้ตลอดเวลา แต่สภาวะแบบนี้มันออกมาจากไหน มันออกมาจากความจริง แต่ถ้าเราไม่เคยทำ ไม่เคยรู้ เราก็รู้ว่าผลไม้เหมือนกัน แต่เราจะเอาเทคนิคไหนไปสอนเขาเห็นไหม มันจะช่วยเหลือตัวเองได้ เป็น อัตตานิ อัตตโน นาโถ ช่วยตัวเองด้วย แล้วจะเป็นที่พึ่งของโลกไง

เห็นไหม สังคมเร่าร้อนนะ สังคมอยากพึ่งพาอาศัย แต่เพราะสังคมก็มีกิเลส คนที่รวมเป็นสังคมขึ้นมามันมีกิเลส พอมีกิเลสเขาไม่ไว้ใจใครหรอก มันต้องใช้กาลเวลาไง สิ่งที่เขาจะยอมรับเรา มันต้องอาศัยกาลเวลา ต้องพิสูจน์กันหนึ่งเห็นไหม แล้วการสั่งสอนที่ดีที่สุด ไม่ต้องไปสั่งสอนเขาเลย การดำรงชีวิตของเรา ถ้าเราอยู่ในธรรมวินัยเห็นไหม เทวดาก็คุ้มครอง กลิ่นของศีลหอมทวนลม การยอมรับกัน การเอ่ยปากออกมา เอ่ยได้แสนยากนะ มนุษย์เท่ากัน สองแขนสองขาเหมือนกัน ใครจะยอมรับใคร เห็นไหม

สิ่งต่างๆ อย่างนี้ การสอนโดยสำคัญที่สุด คือสอนตัวเราเองก่อน แล้วอยู่ศีลในธรรม อยู่ในกฎในกติกา อย่าไปแสดงอะไรออกไปให้เขาเห็น ใช่ไหม เราไม่ต้องการสิ่งใดๆทั้งสิ้น เราอยู่เพื่อพรหมจรรย์ของเรา อยู่เพื่อรักษาใจของเรา อยู่เพื่อประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นมาในหัวใจนะ ธรรมะมันถึงเหนือสิ่งต่างๆ ไง เราปฏิบัตินะไม่ใช่วิบัติ สิ่งที่วิบัติเห็นไหม เขาเข้ามาอยู่ในสังคม ในศาสนา แล้วก็เอาศาสนาออกไปเห็นไหม เอาแต่ความเห็นของตัวว่า สิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม

รู้วาระจิตต่างๆ สิ่งนี้มันหลอกกันหมดนะ รู้วาระจิตถ้าเป็นสมัยพุทธกาล มันก็เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ แต่ในปัจจุบันนี้โทรศัพท์มือถือนี้มันรู้ดีกว่าเราหรอก เห็นได้ทั้งหมดเลย ดาวเทียมต่างๆ โลกเคลื่อนไหว เขาทำจารกรรมกัน เขาซุกซ่อนทำนิวเคลียร์กัน ขนาดอยู่ในถ้ำ ดาวเทียมเขายังตามตรวจตามจับได้เลย สิ่งต่างๆ โลกเรานี้มันพัฒนาไปขนาดนั้นแล้ว แล้วเรายังจะมาว่ารู้วาระจิตๆ ว่ารู้วาระจิตแล้วรู้ตัวเองหรือเปล่าล่ะ รู้จักกิเลสตัวเองไหม รู้จักอริยสัจ รู้จักทุกข์ไหมล่ะ รู้จักความละอายแก่ใจไหมล่ะ

รู้ว่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณค่า จะเอาไปแลกกับโลกธรรม ๘ เหรอ โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่เห็นไหม มรรค ๘ ก็ไปชำระไปทำลายโลกธรรม ๘ ไอ้นี่เราเอาโลกธรรม ๘ มาเป็นเหยื่อของเราเอง แล้วเราก็ติดพันเหยื่อนั้นไป ติดพันเหยื่อ ตัวเองก็กลายเป็นเหยื่อด้วย ตัวเองกลายเป็นเหยื่อเพราะอะไร เพราะการกระทำสิ่งต่างๆ ได้มานี้ มันได้มาเพราะว่าเราปรารถนา แต่ผลที่เกิดขึ้นมาล่ะ กิเลสมันต้องการก็ไปแสวงหามา แสวงหามาเพราะกิเลสมันเกิดที่ใจ เวลามันดับก็ดับไปที่ใจ

แล้วผลที่เกิดขึ้นมา ใครเป็นคนทำล่ะ เพราะมันมีใจตัวนี้ไง ถ้าใจตัวนี้แม้แต่พระอนาคาเห็นไหม พระอนาคายังมีภวาสวะ มีตัวภพ กิเลสของพระอนาคา คือ อยากดัง ต้องการให้เขายอมรับเห็นไหม ลาภสักการะ กิเลสของพระอนาคานะ แต่กิเลสหยาบๆ สิ่งนั้นผ่านพ้นไป พระอนาคายังมีกิเลส ๕ ตัวของพระอนาคา สิ่งต่างๆ อย่างนี้มันยังต้องการ ขณะที่มันต้องการความยอมรับ ยอมรับใคร ก็ภวาสวะอันนั้นไง ยอมรับจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้นมีสถานที่ตั้ง มันก็มีโปรแกรมที่เก็บข้อมูล มีกรรมไหม มีกรรม

พระโมคคัลลานะ ขณะที่สิ้นจากกิเลสแล้ว เวลาโจรมาฆ่า โจรมาทุบทำลาย ทำลายนั้นทำลายได้แต่ร่างกาย แต่ทำลายหัวใจไม่ได้ เพราะหัวใจอยู่ในร่างกายนั้นเห็นไหม ก็เอาจิตนั้นรวมให้ร่างกายนั้นกลับมา แล้วกลับไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม สิ่งที่ชำระกิเลสออกไปแล้ว มันถึงไม่มีกรรม แต่ขณะที่เรายังต้องการ ยังแสวงหา ยังต้องการตำแหน่ง ต้องการชื่อเสียง ต้องการเกียรติคุณต่างๆ ยังต้องการลาภสักการะ มันจะมีบุญมีกรรมตลอดไปนะ

แล้วถ้ามีบุญมีกรรมอย่างนี้ ในการประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ขณะที่เป็นพระอนาคาแล้ว มันว่างหมด ว่างหมดแล้วมันจะย้อนกลับมาตัวอวิชชาได้อย่างไร ในตัวอวิชชาดูสิ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสเห็นไหม กามราคะปฏิฆะเห็นไหม นี่สังโยชน์ ๕ ตัว ตั้งแต่โสดาบัน สกิทา อนาคานี่สังโยชน์ ๕ ตัว แต่เวลาเป็นพระอนาคาแล้วเห็นไหม มีสังโยชน์อันละเอียด รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา สังโยชน์ ๕ ตัวเหมือนกัน แล้วละเอียดอ่อนมาก ละเอียดอ่อนมาก

ขณะที่เราเริ่มต้นวิปัสสนากัน มันก็แสนทุกข์แสนยาก กว่าจะเห็นกาย กว่าจะวิปัสสนากาย นี่มันแค่สักกายทิฏฐิเท่านั้นเอง แล้วเวลาขึ้นไป รูปราคะ อรูปราคะ รูป รูปฌาน อรูปฌานมันเป็นสังโยชน์ สิ่งที่ว่างๆ มันเป็นสังโยชน์ทั้งนั้น ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ มันก็เป็นสังโยชน์ สังโยชน์คือร้อยรัด ร้อยรัดด้วยอะไร ก็ร้อยรัดใจไว้ ร้อยรัดใจไว้แล้วใจไปไหน ใจก็ต้องไปเกิดบนพรหมสิ เห็นไหมมันยังไปได้ยาก

รูปราคะ อรูปราคะ ความว่างก็เป็นราคะ เพราะจิตมันเป็นความว่างเอง ก็จิตมันติดในราคะนั้นเอง ความว่างนี้จิตมันติดเอง พอจิตมันติดราคะมันจะไปไหนล่ะ ก็จิตมันติดในสังโยชน์นั้นเห็นไหม สิ่งนี้ มันยังมีมานะ ๙ ยังมีภวาสวะ อวิชชา ๓ อวิชชาสวะ กิเลสสวะ ภวาสวะ สิ่งที่เป็นสภาวะมันมีสถานที่ตั้ง รับผิดชอบตรงนี้ จิตออกมาจากที่นี่ นี่ปฏิสนธิจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ถ้าว่างๆ เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

แล้วถ้าจิตมันสงบเข้ามา จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส แล้วมันเป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส แล้วมันจะข้ามอย่างไรล่ะ จะข้ามอย่างไร มันผ่องใส ไม่มีอะไรเลย จับต้องอะไรไม่ได้เลย เห็นไหมเป็นเรือนว่าง แล้วเราก็ว่างๆๆ บ้านร้างแต่มีคนอยู่ ไอ้คนนั้นมันไม่เห็นตัวมันเอง มันก็ว่ามันว่างๆๆๆ อยู่อย่างนั้น สิ่งที่มีการกระทำเห็นไหม ถ้าเป็นเอหิภิกขุ ถ้าบวชตัวเอง มันจะเห็นวิธีการ เห็นขั้นตอน เห็นการกระทำเห็นไหม มันก็เหมือนมะม่วง มะม่วงป่า มะม่วงบ้าน เราจะเก็บพันธุ์มาอย่างไร เราจะเพาะอย่างไร เราจะดัดแปลงอย่างไร เราจะสะสมอย่างไร เราจะดูแลรักษาอย่างไร เวลาผลออกมาแล้ว เราจะบำรุงรักษาผลอย่างไร เราจะให้ปุ๋ยทางใบ ให้ปุ๋ยทางต้น ให้ปุ๋ยทางน้ำ ให้ทั้งนั้นเลย

เพราะอะไร เพราะเราต้องสงวนรักษา จะต้องมีสติ ต้องมีสัมปชัญญะ มรรค ๘ เห็นไหม เราต้องมีการรักษา ต้องมีการฝึกอดอาหาร ต้องมีการผ่อน ต้องมีการตั้งสติ ต้องมีการไม่กระทบกระทั่ง ต้องรักษาอินทรีย์ รักษาการขับเคลื่อน รักษาการกระทบเพราะอะไร เพราะสิ่งที่กระทบเห็นไหม

ดูสิ นิวเคลียร์ เขาต้องการ เรารักษาอย่างดีเลย เขาต้องปลูกสร้างไว้เพราะว่า พลังปรมาณูมันจะแพร่กระจายออกไปในอากาศเห็นไหม นี่ก็ต้องสร้างสิ่งปลูกสร้าง ต้องไม่มีรอยรั่ว ไม่มีรอยร้าว ไม่มีรอยแตกทั้งนั้นเลย นี่ก็เหมือนกันพอจิตมันยิ่งสูง จิตมันยิ่งละเอียดนะ เวลากระทบกระเทือนนี่มันแสดงตัวเร็วมาก ความไวของจิต ความไวของความรู้สึก การกระทบกระเทือน การต้องอยู่ในหมู่คณะ ถ้าในสังคมปฏิบัติเรา ตรงนี้มันสำคัญมาก มันกระเทือนถึงกันหมดเห็นไหม

ถ้ามันสะเทือนถึงกันหมด มันต้องการความสงัด ต้องการความต่างๆ เห็นไหม ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติด้วยกัน แบบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่ท่านผ่านวิธีการมา ท่านจะเห็นตรงนี้ ท่านถึงพยายามจะถนอมรักษา แล้วเราเป็นศากยบุตรพุทธชินโนรส บุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมมุติ บวชเป็นสงฆ์ ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา แล้วถ้าเราบวชแล้วเราประพฤติปฏิบัติอีก แล้วจิตเรามันบรรลุธรรม มันเห็นธรรมขึ้นมานะ มันเป็นสมบัติส่วนตนนะ เรารู้ของเรา เป็นสัจจะความจริง แล้วเราจะไม่ทำให้ตัวเองวิบัติ

ตัวเองวิบัตินะ เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านแสดงไว้ แล้วเอามาอ้างอิงไง อ้างอิงว่าเป็นสภาวะอย่างนั้น ถ้าขณะที่ปฏิบัติ มันก็เป็นอย่างนี้ เพราะมันต้องโดนหลอกไปก่อน แต่หลอกแล้วเราก็ต้องดัดแปลงเพื่อเรา ไม่ใช่มันหลอกขึ้นมาแล้วก็จับความหลอกนี้จะไปหลอกคนอื่นต่อไป ว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น เป็นภาษาบ้าบอ บ้าบอจริงๆ เพราะมันพิสูจน์ได้ ผู้รู้จริงมีนะ อย่าคิดว่าพูดไปแสดงไปแล้วคนเขาไม่รู้ คนที่รู้ก็มี

ถ้าคนรู้มันมี เขาสามารถชี้มูลความผิดได้ ถ้าเขาชี้มูลความผิดได้ เราจะไปโต้แย้งเขาเห็นไหม เราจะไม่ทำให้เราเป็นผู้วิบัติ เราจะต้องทำให้เราเป็นนักปฏิบัติ ศากบุตรพุทธชินโนรส ทั้งนอก ทั้งใน นอกคือสมมุติสงฆ์ นอกนี่สมบูรณ์แล้ว แต่ในล่ะ ในเราต้องรักษาต่อไป ในนี่ต้องรักษานะ ต้องแสวงหา ถ้าแสวงหาจะเป็นสมบัติของเรา สันทิฏฐิโก ฟังสิ สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง แสวงหาคือประสบการณ์ตรง คือเห็นการกระทำของจิต กิจญาณ กิจของการกระทำของมัน

ดูสิขณะที่เราทำแล้วเห็นไหม มันปล่อยมันวางขนาดไหน เดี๋ยวเราก็สงสัย ภายในอาทิตย์หนึ่งมันต้องมีความสงสัย วันสองวันมันยังดีอยู่ รักษาจิตได้อยู่ แต่ขณะ ๓ วัน ๔ วันไป มันต้องสงสัย เอ๊ะ เป็นอีกแล้ว โอ๊ะ เป็นอย่างนี้อีกแล้ว นั่นล่ะมันยังมีอยู่ มันถึงต้องพยายามหมั่นตั้งสติ หมั่นทำความสงบให้มีกำลัง แล้วหมั่นใช้ปัญญาคราดไถ พยายามแสวงหา พยายามค้นคว้า อย่าประมาทเห็นไหม ต้องทดสอบตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา

การทดสอบตรวจสอบกับจิตของเรานี้สำคัญมาก การประพฤติปฏิบัติก็ทุกข์อยู่แล้วนะ ทุกข์เสร็จแล้วนะ ปฏิบัติแล้วยังทดสอบตรวจสอบอีก อย่าประมาท อย่าเลินเล่อ ต้องตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาวนาจนวันตาย ในปัจจุบันนี้หลวงตา ๙๔ ปีท่านยังเดินจงกรมตลอดเวลา มีโอกาสก็เข้าทางจงกรมตลอดเวลาเห็นไหม มันเป็นวิหารธรรมนะ วิหารธรรมของพระอรหันต์ท่านภาวนาอยู่ตลอดเวลา แล้วเราล่ะขนาดตรวจสอบ ขนาดพยายามพิจารณาจิตยังขี้เกียจเลย อย่าขี้เกียจ ต้องหมั่นกระทำนะ

เราเคยมีรถมีราไหม รถราเราปล่อยไว้โดยที่ไม่อุ่นเครื่องมันเลย ไม่ดูแลรักษา เอาไว้ไม่กี่ปีมันก็พัง นี่เหมือนกัน ชีวิตของเรามีวิหารธรรม คือการเดินจงกรม การนั่งสมาธิภาวนา การตรวจสอบใจมันเป็นหน้าที่ มันเป็นการงาน ต้องขยันหมั่นเพียร ทำอย่างนี้ไปบ่อยครั้งเข้า เราจะไม่เป็นกรรมฐานม้วนเสื่อไง คือมันจะไม่อ่อนแอ มันจะไม่ท้อถอย เพราะเราตรวจสอบตลอดเวลา

เหมือนกับแบต ที่เราชาร์จไฟตลอดเวลา แบตมันก็มีไฟตลอดเวลาเห็นไหม เราใช้แบตใช้ไฟ แต่เราไม่เคยชาร์ตไฟ มันก็จะเสื่อมไป มันก็จะหมดไป ถ้าเราชาร์จไฟ เรารักษาตลอดเวลา โอกาสก็มีเห็นไหม ปฏิบัติมันก็มีผิดมีถูก เดินลุยไป ผิดเราก็แก้ไขไป ถูกมันก็มีความว่าง มีความปล่อยวางต่อเนื่องกันไปเห็นไหม เราทำสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี

พระพุทธจ้าไม่โกหกนะ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี เราต้องสำเร็จได้ สำเร็จได้ พระพุทธเจ้าไม่เคยโกหกใคร แล้วเราเอง กิเลสมันโกหกต่างหาก กิเลสในใจเรามันโกหก แล้วเราก็เชื่อกิเลสของเรา เราก็อ่อนแอ ถ้าเราเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องดำเนิน มันโกหกเราไม่ได้ เราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วพิสูจน์ไง พอพิสูจน์ไปถึงจุดหนึ่ง ใช่ ใช่ ใช่ เห็นไหม ถ้าใช่ก็คือถึงจุดหมายปลายทางไง นี่ธรรมของเรา เราจะเป็นผู้ปฏิบัติ เราจะไม่ผู้วิบัติ เอวัง